ทุกวันนี้มีการพูดกันอย่างกว้างขวางถึงการยกระดับ CSR มาเป็นเครื่องมือช่วยสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขัน ตามโมเดลของ “ไมเคิล อี.พอร์เตอร์” ที่ฉายภาพให้เห็นว่าองค์กรสามารถพัฒนา responsive CSR ในเชิงของการดูแลผลกระทบจากการประกอบธุรกิจ มาสู่ strategic CSR ที่นำไปสู่การสร้างคุณค่าร่วม หรือ creating shared value (CSV) ระหว่างธุรกิจกับสังคมไปพร้อมกัน
คำว่า responsive ถ้าจะอธิบายอย่างง่ายในบริบทของ CSR คือความที่องค์กร respond ในเรื่องที่เป็นผลกระทบอันมีสาเหตุจากการประกอบกิจการ หากมองในเชิงอุดมคติ ถ้าองค์กรไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อน ก็อาจจะไม่ต้องทำ CSR ก็ได้
แต่ในความเป็นจริง กระบวนการในทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการผลิต การส่งมอบ การจำหน่าย การบริการ ฯลฯ ย่อมต้องเกิดผลภายนอก (externalities) ไม่มากก็น้อย ฉะนั้น การที่ชาวบ้านเดินมาหาโรงงาน บอกว่าเขาได้รับผลกระทบจากน้ำทิ้ง กลิ่นเหม็น อากาศเสีย หากโรงงานไม่ดำเนินการอะไรเลย นั่นแสดงว่าไม่มี CSR
การที่องค์กรรับที่จะดำเนินการตามที่ชาวบ้านร้องขอ อันนี้เรียกว่า responsive คือ react ในสิ่งที่ตนเองได้สร้างผลกระทบไว้ ซึ่ง “พอร์เตอร์” กล่าวไว้ว่าการที่องค์กรตอบสนองต่อข้อท้วงติงหรือข้อเรียกร้องเช่นนี้ องค์กรจะได้รับการยอมรับในฐานะ good citizen ในสังคมที่สามารถอยู่ร่วมกันได้
ทีนี้ ในมุมมอง “พอร์เตอร์” ยังขยายความต่อว่าแม้องค์กรจะได้ทำเรื่อง responsive CSR ครบถ้วนดีแล้ว แต่อาจไม่เพียงพอต่อการเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันที่ทุกธุรกิจให้ความสำคัญ เพราะการดำเนินงาน CSR ในเชิงรับ องค์กรไม่สามารถกำหนดประเด็นการดำเนินงานทางสังคมได้เอง ซึ่งถือเป็นโจทย์สำคัญของการสร้างความแตกต่าง (differentiation) และเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จหนึ่งของการพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขัน
แนวคิดของ CSR เชิงกลยุทธ์ หรือ strategic CSR ซึ่งคือการทำ CSR ในเชิงรุก จึงถูก “พอร์เตอร์” หยิบยกขึ้นมานำเสนอ โดยที่องค์กรเป็นผู้หยิบยกประเด็นทางสังคมขึ้นมาวิเคราะห์ และเลือกดำเนินการให้สอดรับกับกลยุทธ์ทางธุรกิจ และเชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์ รวมทั้งเกื้อหนุนกับพันธกิจ ตลอดจนขับเน้นค่านิยมขององค์กรอย่างผสมผสานกลมกลืน
อย่างไรก็ตาม การที่องค์กรหลายแห่งลุกขึ้นมาประกาศว่าจะเข้าไปทำงานเชิงรุกกับสังคม แต่หากผลกระทบทางลบจากกิจการที่มีต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกลุ่มต่าง ๆ ยังไม่ได้รับการแก้ไข หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ยังไม่ได้ทำ responsive CSR การแสวงหาความแตกต่างหรือมุ่งเน้นพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันด้วย strategic CSR ก็จะไม่เป็นผล เนื่องเพราะองค์กรยังละเลยสิ่งที่เป็น minimum requirement ที่ควรต้องดำเนินการอยู่
ดังนั้น การทำ CSR เชิงกลยุทธ์ จึงมิได้มาทดแทน responsive CSR แต่เป็นสิ่งที่องค์กรต้องมีพัฒนาการ ตั้งแต่การทำ CSR ในเชิงรับ (ที่เน้นแก้ไขผลกระทบทางลบ) จนมาสู่ CSR ในเชิงรุก (ที่เน้นเสริมสร้างผลกระทบทางบวก) อย่างเป็นลำดับขั้น
การสร้างคุณค่าร่วม จะเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริงต่อเมื่อสังคมให้การยอมรับกิจการ ในฐานะที่เป็น good citizen สามารถดำเนินการดูแลผลกระทบได้ดี ไม่สร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่อยู่รายรอบกิจการ จึงเรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการทำ CSV อย่างถูกทาง
[Original Link]
No comments:
Post a Comment